อิตาลีคือสีสันของฟุตบอลทัวร์นาเม้นต์
ทีมชาติอิตาลีคือยักษ์ใหญ่ของวงการลูกหนังโลก นี่คือความเป็นจริง
ตำแหน่งแชมป์โลก 4 สมัยยืนยันความอลังการของทีมอัซซูรี่ ในโลกใบนี้มีเพียงบราซิลชาติเดียวเท่านั้นที่เป็นแชมป์โลกมากกว่าพวกเขา หากผลงานในเวิลด์คัพช่วงหลังกลับย่ำแย่และน่ารันทดใจอย่างหนัก นับตั้งแต่ได้แชมป์โลกสมัย 4 เมื่อปี 2006 อิตาลีหัวทิ่มบ่อตลอดฟุตบอลโลก 3 สมัยที่ผ่านมา ตกรอบแรกในปี 2010 ทั้งที่มี ปารากวัย สโลวาเกีย และ นิวซีแลนด์ ร่วมกลุ่ม ตกรอบแรกในปี 2014 ที่มี อุรุกวัย อังกฤษ และ คอสตาริกา ร่วมกรุ๊ป
ปี 2018 ที่หวังจะกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมายิ่งไปกันใหญ่ กระทั่งรอบสุดท้ายที่รัสเซียยังไม่มีโอกาสเข้าไปเล่น แฟนบอลเมืองมะกะโรนีแทบจะอาละวาดฟาดงวงฟาดงาเมื่อเห็นทีมต้องตกรอบคัดเลือกด้วยการแพ้เพลย์ออฟต่อสวีเดน มีคำถามมากมายเหลือเกินสำหรับพวกเขา แม้ในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปจะไม่ได้มีผลงานน่าอับอายอย่างฟุตบอลโลกก็ตาม หลังเป็นแชมป์โลก 2006 อิตาลีทำผลงานในยูโรได้ดีกว่าฟุตบอลโลก คือเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งปี 2008 และ 2016 ก่อนจะตกรอบเพียงเพราะดวลจุดโทษ ดูบอล ขณะที่ปี 2012 เข้าชิงได้เลยแต่เจอความย่อยยับที่เคียฟ 15 ปีแล้วที่แฟนบอลอัซซูรี่ห่างเหินจากความสำเร็จระดับแชมป์รายการใหญ่ และมาในศึกยูโรคราวนี้พวกเขาไม่ได้เป็นตัวเต็งในระดับเดียวกับฝรั่งเศสหรือเบลเยียม แต่ขึ้นชื่อว่าอิตาลีต้องห้ามมองข้ามจริงๆ คืนนี้อิตาลีจะลงเตะนัดเปิดสนามยูโร 2020 กับตุรกี ไม่ใช่งานง่าย
ปี 2018 ที่หวังจะกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมายิ่งไปกันใหญ่ กระทั่งรอบสุดท้ายที่รัสเซียยังไม่มีโอกาสเข้าไปเล่น แฟนบอลเมืองมะกะโรนีแทบจะอาละวาดฟาดงวงฟาดงาเมื่อเห็นทีมต้องตกรอบคัดเลือกด้วยการแพ้เพลย์ออฟต่อสวีเดน มีคำถามมากมายเหลือเกินสำหรับพวกเขา แม้ในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปจะไม่ได้มีผลงานน่าอับอายอย่างฟุตบอลโลกก็ตาม หลังเป็นแชมป์โลก 2006 อิตาลีทำผลงานในยูโรได้ดีกว่าฟุตบอลโลก คือเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งปี 2008 และ 2016 ก่อนจะตกรอบเพียงเพราะดวลจุดโทษ ดูบอล ขณะที่ปี 2012 เข้าชิงได้เลยแต่เจอความย่อยยับที่เคียฟ 15 ปีแล้วที่แฟนบอลอัซซูรี่ห่างเหินจากความสำเร็จระดับแชมป์รายการใหญ่ และมาในศึกยูโรคราวนี้พวกเขาไม่ได้เป็นตัวเต็งในระดับเดียวกับฝรั่งเศสหรือเบลเยียม แต่ขึ้นชื่อว่าอิตาลีต้องห้ามมองข้ามจริงๆ คืนนี้อิตาลีจะลงเตะนัดเปิดสนามยูโร 2020 กับตุรกี ไม่ใช่งานง่าย
แต่ผลงานของแชมป์โลก 4 สมัยนั้นน่าทึ่งมากไม่แพ้ใครมานานถึง 2 ปีกับอีก 9 เดือนเข้าไปแล้ว
ครั้งล่าสุดที่พวกเขาแพ้คือเกมเนชั่นส์ ลีกที่ไปเยือนโปรตุเกสที่ลิสบอนเมื่อเดือนกันยายน ปี 2018 ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ อิตาลีดูจะเล่นอย่างมั่นใจ ลงสนามทุกเกมโดยเชื่อในตัวเองที่สุด ไม่มีความกังขาในศักยภาพใดๆ ทั้งสิ้น มันแลกมาด้วยผลงานชนะรวดทั้ง 10 เกมที่ลงเล่นในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา นอกจากพวกเขาแล้วมีเพียงเบลเยียมที่ทำได้อย่างนั้น เท่าที่พอจะจำได้ผมคิดว่าไม่เคยเห็นผลงานชนะร้อยเปอร์เซนต์
ในรอบคัดเลือกแบบนี้สำหรับทีมชาติอิตาลีนะครับ บางครั้งออกจะกระท่อนกระแท่นด้วยซ้ำไปการเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยผลงานชนะรวดทุกเกมในรอบคัดเลือกทำให้ทีมอัซซูรี่น่าจับตามองขึ้นอีกมาก ที่สำคัญคือฟอร์มของอิตาลียังจัดจ้านต่อเนื่องตอนนี้ชนะรวดมา 8 เกมติดต่อกันแล้ว ทั้งยังเป็นการชนะแบบเกมศูนย์ทั้งหมดด้วย นับตั้งแต่ที่ มันชินี่ เข้ามาคุมทีมต่อจาก จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า ที่ทำทีมตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 เขาพาทีมอัซซูรี่ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แพ้เพียงแค่ 2 เกมเท่านั้นซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 5 นัดแรกที่คุมทีมมันโช่เริ่มต้นตะกุกตะกักชนะซาอุดิอาระเบียแค่ 2-1 ในเกมอุ่นเครื่อง ตามด้วยแพ้ฝรั่งเศส 1-3 กับเสมอฮอลแลนด์ 1-1 ในโปรแกรมอุ่นเครื่องก่อนเข้าฟุตบอลโลกซึ่งผิดคิวเพราะตัวเองไม่ได้ไป จากนั้นทำได้แค่เสมอโปแลนด์ 1-1 และแพ้โปรตุเกส 0-1 ในเกมเนชั่นส์ ลีกกลุ่ม A3 แต่นั่นคือความพ่ายแพ้ครั้งล่าสุดของอิตาลี.. ขุนพลแห่งกรุงโรมไม่แพ้ใครอีกเลยนับจากนั้นรวมแล้วทั้งสิ้น 27 เกมติดต่อกัน 4 เกมสุดท้ายของปี 2018 10 เกมตลอดปี 2019 8 เกมตลอดปี 2020 และอีก 5 เกมที่ผ่านมาในปี 2021 ใน 27 เกมนั้นมีผลเสมอแค่ 5 นัดเท่านั้น
ที่เหลือเป็นชัยชนะเรียบวุธซึ่งเกิดขึ้นทั้งรายการเนชั่นส์ ลีก 2018/19 กับ 2020/21 รายการคัดยูโร 2020 รายการคัดบอลโลก 2022 และรายการอุ่นเครื่อง มีการชนะแบบเข้าเบรก 11 เกมติดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2018 ถึงพฤศจิกายน 2019 และล่าสุดที่ชนะรวดมาแล้ว 8 เกมตั้งแต่ พฤศจิกายน 2020 ถึงเกมอุ่นเครื่องสดๆ ร้อนๆ ที่ถล่มสาธารณรัฐเช็ก 4-0 เมื่อสัปดาห์ก่อนที่โบโลญญ่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น